วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2557

“ปีนัง” มนต์ขลังเมืองเก่า....

“ปีนัง” มนต์ขลังเมืองเก่า เล่าเรื่องราวหลากวัฒนธรรม

       พูดถึงความเก่านั้น ก็ใช่แต่จะหมายถึงด้านไม่ดีเสมอไป ของบางอย่างที่เป็นของเก่า ก็มีคุณค่าแบบที่ไม่สามารถประเมินราคาได้ หรือแม้แต่เมืองเก่าๆ ก็มีมนต์เสน่ห์ที่ทำให้หลายคนอยากเข้าไปสัมผัส อย่างเช่น “ปีนัง” หรือ รัฐปีนัง ประเทศสหพันธรัฐมาเลเซีย....

      
     
       ก่อนจะตะลอนเที่ยวกันในเมืองปีนัง เรามาทำความรู้จักประวัติความเป็นมาของปีนังกันเสียหน่อย การท่องเที่ยวทริปนี้จะได้มีรสชาติมากยิ่งขึ้น  “ปีนัง” นั้นเป็นหนึ่งในสิบสามรัฐของมาเลเซีย ในภาษามาเลย์จะเรียกว่า “ปูเลาปีนัง” (Pulau Penang) ซึ่งมาจากคำว่า “ปีนัง” ที่แปลว่า “ต้นหมาก” โดยในสมัยก่อนนั้นบนเกาะปีนังจะพบต้นหมากขึ้นอยู่มากมายนั่นเอง และหากพูดถึงรัฐปีนัง จะหมายรวมถึงพื้นที่บนเกาะปีนัง และ เซเบอรังเปอไร (Seberang Parai) บนแผ่นดินใหญ่

      

       เกาะปีนังถูกค้นพบโดย กัปตันฟรานซิส ไลท์ (Captain Fransis Light) ชาวอังกฤษ ต่อมาในปี ค.ศ.1786 กัปตันไลท์ก็ได้รับมอบเกาะปีนังจากสุลต่านแห่งรัฐเคดาห์ ในนามของบริษัทอีสต์ อินเดีย คอมพานี ด้วยการทำสัญญาว่าจะปกป้องแผ่นดินนี้จากสยามประเทศ ซึ่งเขาก็ได้เปลี่ยนชื่อเกาะเสียใหม่ว่า “Prince of Wales Island” เนื่องด้วยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันเกิดของเจ้าชายแห่งเวลส์ 
       ปีนังถูกกล่าวขานว่าเป็นไข่มุกแห่งตะวันออก เนื่องจากมีบ้านเมืองที่สวยงามและโรแมนติกที่สุดแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะบนเกาะปีนังที่เราจะมาเที่ยวตะลอนกันในคราวนี้ และถ้าอยากจะเห็นว่าบ้านเมืองโดยรวมของเกาะปีนังเป็นอย่างไรบ้างนั้น ก็ต้องขึ้นมาที่ “ปีนังฮิลล์” (Penang Hill / Bukit Bendara) เนื่องจากเป็นจุดที่สูงที่สุดบนเกาะปีนัง
       
       การจะขึ้นไปสู่ยอดเขาปีนังฮิลล์ที่มีความสูงประมาณ 830 เมตรจากระดับน้ำทะเลนั้น จะต้องใช้บริการรถไฟรางเพื่อไต่ระดับขึ้นไป ระหว่างที่รถไฟเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ก็จะผ่านสวนป่าที่มีต้นไม้ดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ ดูแล้วสดชื่นสบายตาจากความเขียวชอุ่ม



“ปีนัง” มนต์ขลังเมืองเก่า เล่าเรื่องราวหลากวัฒนธรรม
                                                    ทิวทัศน์รอบๆ ปีนัง
         
             พอขึ้นไปถึงด้านบนสุดก็จะได้สูดอากาศบริสุทธิ์เย็นสบาย พร้อมกับชมทิวทัศน์ที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ซึ่งจะเห็นทั้งจอร์จทาวน์ ที่ในปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของรัฐปีนัง ไปจนถึงชายฝั่งทะเล ขึ้นมาถึงด้านบนแล้วก็ต้องใช้เวลาดื่มด่ำกับบรรยากาศดีๆ มากสักหน่อย แล้วค่อยลงมาสำรวจแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ 




 
องค์เจ้าแม่กวนอิม
      
      เป็นรูปหล่อสำริด ที่มีความสูงราว 30 เมตร ตั้งตระหง่านงดงามอยู่ที่ด้านบนสุดของวัด ซึ่งบริเวณรอบๆ นั้นก็มีการตกแต่งด้วยไม้ดอกไม้ประดับอย่างงดงาม สามารถชมทัศนียภาพรอบๆ เกาะปีนังได้สะดวก และข้างๆ กันนั้นก็มีศาลาประดิษฐานองค์เจ้าแม่กวนอิมไม้แกะสลักให้เข้าไปสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคลกันอีกด้วย
       









 

 วัดเค็กลกซี 
        
        เป็นทั้งสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของปีนัง และยังมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะวัดที่มีขนาดใหญ่และสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่หากมาเยือนปีนังแล้วก็ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว










วัดเจ้าแม่กวนอิม  
วัดเจ้าแม่กวนอิม
 

          ที่สร้างขึ้นในทศวรรษที่ 1800 โดยชาวจีนฮกเกี้ยนและชาวจีนกวางตุ้งกลุ่มแรกๆ ที่เข้ามาตั้งรกรากในปีนัง แต่เดิมชื่อวัดกงฮกเกียง (วัดกวางตุ้ง-ฮกเกี้ยน) โดยใช้เป็นสถานที่ชุมนุมด้วย กระทั่งเมื่อสร้างอาคารศาลากลางของชาวจีนขึ้นในเวลาต่อมา วัดเจ้าแม่กวนอิมจึงมีสถานภาพเป็นศาสนสถานเพียงอย่างเดียว วัดนี้อยู่ในย่านจอร์จทาวน์ สร้างขึ้นเพื่อบูชาพระโพธิสัตว์กวนอิม รวมถึงบูชาเจ้าแม่ทับทิมผู้ปกปักรักษาผู้ที่เดินเรือออกทะเล ชาวจีนที่ต้องเดินทางไกลข้ามน้ำข้ามทะเลมายังปีนังนับถือเจ้าแม่ทับทิมอย่าง มากในวัดมีสถาปัตยกรรมสวยงาม เช่น เสามังกรสลักจากหินสีเขียวที่ใช้รับน้ำหนักหลังคาสูง รูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม 18 มือ มีสีหน้าที่ทำให้ผู้เข้าไปกราบไหว้มีจิตใจสงบลงและรู้สึกสันโด



  
   “จอร์จทาวน์” 
          
           เมืองหลวงของรัฐปีนัง และยังได้รับเลือกให้เป็นเมืองมรดกโลกพร้อมกับมะละกา ในปี ค.ศ.2008 จากสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์และได้รับการสืบทอดมาอย่างยาวนาน  ภายในจอร์จทาวน์ต้องใช้เวลาในการซึมซับบรรยากาศที่ผสมผสานระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออกอย่างลงตัว  เดินชมตึกรามบ้านช่องตามรายทางไปเรื่อยๆ นอกจากจะได้ชื่นชมกับบ้านช่องที่มีร่องรอยของอดีตอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ก็ยังได้เห็นวิถีชีวิตของผู้คนในย่านจอร์จทาวน์อีกด้วย





http://wesetoff.files.wordpress.com/2013/07/25560729-100318.jpg
 “ทาวน์ฮอลล์”  และ “ซิตี้ฮอลล์”  
      
        โดยอาคารซิตี้ฮอลล์ จะเป็นอาคารสีขาวสไตล์โคโลเนียล โดดเด่นด้วยเสาแบบกรีกและหน้าต่างบานใหญ่ ส่วนทาวน์ฮอลล์ จะเป็นอาคารสีเหลืองอ่อนสลับขาว สถาปัตยกรรม British Empire
       
 


  


 “ป้อมคอร์นเวลลิส”
        
     ภายในแล้วก็จะสามารถมองเห็นโครงสร้างเก่าแก่ที่ยังหลงเหลืออยู่ เช่น โบสถ์ คลังเก็บดินปืน ประภาคาร และยังมีปืนเก่าชื่อ “เสรีรัมใบ” ซึ่งเป็นปืนใหญ่ของฮอลันดาที่มอบให้เป็นของกำนัลแก่สุลต่านยะโฮร์ แต่ถูกโปรตุเกสชิงไปแล้วส่งต่อไปยังชวา สุดท้ายอังกฤษก็นำกลับมาไว้ที่นี่

http://www.chaoprayanews.com/wp-content/uploads/2012/04/334964b5e641342d95.jpeg 
         “ลิตเติ้ลอินเดีย”
          ชุมชนของชาวอินเดียที่มีทั้งโบสถ์ฮินดูเก่าแก่ บ้านเรือนที่ตกแต่งในสไตล์อินเดีย มีร้านขายอาหารของคาวของหวานแบบอินเดีย หรือจะดูหนังฟังเพลงอ่านหนังสืออินเดีย ที่มีก็มีครบทุกสิ่ง แถมยังเห็นสาวอินเดียห่มส่าหรีสีสันสวยสดเดินผ่านไปผ่านมา ได้อารมณ์เดินในเมืองหนึ่งในประเทศอินเดีย มากกว่าจะอยู่ที่ปีนังเสียอีก
       
     


 

  
  “มัสยิดกาปิตัน เคลิง” 
      
          ที่มองจากด้านนอกก็จะเห็นอาคารของมัสยิดเป็นสีขาวสะอาดตา ประดับด้วยโดมและหอคอยแบบโมกุลสีเหลือง ริมกำแพงด้านหนึ่งมีหอคอยสูง และล้อมรอบมัสยิดด้วยกำแพงรั้วเตี้ยๆ







 
 วัดไชยมังคลาราม 
          
        วัดไทยในปีนัง มีพระนอนชื่อ"พระพุทธชัยมงคล" มีความยาวถึง 108 ฟุต โดยพระพุทธรูปองค์นี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ได้พระราชทานนามให้ในคราวเสด็จประพาสปีนังเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2505 










 วัดธรรมิการาม
       
       วัดพม่า มีพระประธานยืน เป็นพระพุทธรูปแกะสลักด้วยหินอ่อนที่งดงามมาก ภายในพระอุโบสถมีการตกแต่งด้วยไม้สักแกะสลักแบบล้านนา ด้านหลังพระอุโบสถมีพระพุทธรูปเกะสลักด้วยหินอ่อนปางต่างๆอยู่หลายองค์







  


เมืองมรดก โลกแห่งนี้ ทำให้ได้รู้ว่าแม้จะมีเชื้อชาติที่แตกต่างกัน แต่ก็ยังสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างผสมกลมกลืน ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน และเมืองที่ตั้งขึ้นมาอย่างยาวนานอย่างปีนังนั้น ก็ยังคงรักษาเสน่ห์ของความโบราณไว้อย่างเต็มเปี่ยม เพื่อรอให้ผู้คนเข้ามาสัมผัสถึงมนต์ขลังที่ยังไม่เสื่อมคลาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น